April 24, 2025

วิตามิน E ช่วยอะไรบ้าง? ประโยชน์ที่มากกว่าการบำรุงผิว

วิตามิน E ช่วยอะไรบ้าง

เมื่อพูดถึงวิตามิน E หลายคนอาจนึกถึงเพียงแค่ครีมบำรุงผิวหรือเซรั่มความงามต่าง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า วิตามิน E มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่คิด และยังเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานที่เป็นปกติ ทั้งระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ สมอง และอวัยวะต่าง ๆ

บทความนี้ KLARITY จะพาคุณไปทำความรู้จักกับวิตามิน E และประโยชน์ที่หลากหลายต่อร่างกาย พร้อมทั้งแนะนำวิธีการได้รับวิตามิน E อย่างเพียงพอ รวมถึงการทำงานร่วมกับสารอาหารอื่น ๆ อย่าง Omega-3 และ Astaxanthin เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้ร่างกายแข็งแรง

วิตามิน E คืออะไร

วิตามิน E คืออะไร

วิตามิน E ไม่ได้เป็นเพียงวิตามินตัวเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของสารประกอบที่ละลายในไขมัน 8 ชนิด แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ โทโคเฟอรอล (Tocopherols) และโทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) โดยแต่ละกลุ่มยังแบ่งย่อยเป็น alpha, beta, gamma และ delta ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป แต่ที่พบบ่อยที่สุดและมีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงที่สุดในร่างกายคือ alpha-tocopherol 

วิตามิน E มีคุณสมบัติเด่นคือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทำหน้าที่จับกับอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำลายเซลล์ในร่างกาย

แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน E ได้แก่

  • น้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันเมล็ดฟักทอง น้ำมันมะกอก
  • ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง
  • ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี่
  • ผลไม้ เช่น กีวี มะม่วง
  • อาหารทะเล โดยเฉพาะปลาที่มีไขมันสูง

ประโยชน์ของวิตามิน E ต่อระบบภูมิคุ้มกัน

หนึ่งในประโยชน์สำคัญที่สุดของวิตามิน E คือการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาพบว่าวิตามิน E มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันหลายชนิด รวมถึง T cells และ B cells ซึ่งเป็นเซลล์หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค 

นอกจากนี้ วิตามิน E ยังช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังหลายชนิด การวิจัยพบว่าการได้รับวิตามิน E ในปริมาณที่เพียงพอสามารถช่วยลดระดับของสารก่อการอักเสบในร่างกายได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีภาวะการอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การเสริมวิตามิน E อาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อบางชนิด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 

ประโยชน์ของวิตามิน E ต่อระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามิน E กับการปกป้องเซลล์

คุณสมบัติหลักของวิตามิน E คือการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรและว่องไวต่อการทำปฏิกิริยา ซึ่งสามารถทำลาย DNA, โปรตีน และไขมันในเซลล์ วิตามิน E ทำหน้าที่เป็น "ผู้เสียสละ" โดยให้อนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับตัวเองแทนที่จะไปทำลายส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ 

นอกจากนี้ วิตามิน E ยังช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ที่เกิดจาก oxidative stress ซึ่งเป็นภาวะที่มีอนุมูลอิสระมากเกินไปในร่างกาย และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมถอยตามวัยและโรคเรื้อรังหลายชนิด 

วิตามิน E กับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

วิตามิน E มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยช่วยป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด วิตามิน E ช่วยป้องกันการออกซิเดชันของ LDL หรือ "คอเลสเตอรอลไม่ดี" ซึ่งเมื่อถูกออกซิไดซ์แล้วจะกลายเป็นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบและการสะสมที่ผนังหลอดเลือด

นอกจากนี้ วิตามิน E ยังมีคุณสมบัติในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด งานวิจัยพบว่าการบริโภควิตามิน E ในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 

ประโยชน์ต่อสมองและระบบประสาท

ประโยชน์ต่อสมองและระบบประสาท

วิตามิน E มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์สมองและระบบประสาท ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไวต่อความเสียหายจากอนุมูลอิสระมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสมองใช้ออกซิเจนในปริมาณมากและมีไขมันเป็นองค์ประกอบสูง การศึกษาบางชิ้นพบว่าการได้รับวิตามิน E อย่างเพียงพออาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองที่เกี่ยวข้องกับอายุ และอาจลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ 

นอกจากนี้ วิตามิน E ยังมีส่วนช่วยในการรักษาความสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้เซลล์ประสาทสื่อสารกัน การขาดวิตามิน E อาจส่งผลต่อระดับของสารสื่อประสาทบางชนิด และอาจนำไปสู่ปัญหาทางระบบประสาทได้ 

ประโยชน์ต่อสุขภาพตา

วิตามิน E มีบทบาทสำคัญในการปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจอประสาทตา (retina) ซึ่งเป็นส่วนที่ไวต่อแสงและมีไขมันเป็นองค์ประกอบสูง การศึกษาระยะยาวพบว่า การได้รับวิตามิน E ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น วิตามิน C, บีต้าแคโรทีน และสังกะสี อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ 

การศึกษาที่มีชื่อว่า Age-Related Eye Disease Study (AREDS) ซึ่งเป็นการศึกษาขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดย National Eye Institute ในสหรัฐอเมริกา พบว่าการเสริมวิตามิน E ร่วมกับสารอาหารอื่น ๆ สามารถชะลอการดำเนินโรคของ AMD ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีนัยสำคัญ 

KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin กับวิตามิน E

KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin

เมื่อพูดถึงการเสริมประสิทธิภาพของวิตามิน E แล้ว การทำงานร่วมกับสารอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะ Omega-3 และ Astaxanthin สามารถเพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพได้อย่างมาก ผลิตภัณฑ์ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin นำเสนอการผสมผสานที่ลงตัวของสารอาหารเหล่านี้

Omega-3 โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่พบในน้ำมันปลาคุณภาพสูงจากนอร์เวย์ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบที่เสริมการทำงานของวิตามิน E การวิจัยพบว่าเมื่อร่างกายได้รับทั้ง Omega-3 และวิตามิน E จะเกิดผลเสริมฤทธิ์กัน (synergistic effect) ในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายและลดการอักเสบ 

Astaxanthin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังจากธรรมชาติ ที่พบในสาหร่ายและสัตว์ทะเลบางชนิด เช่น แซลมอน การศึกษาพบว่า Astaxanthin มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามิน E ถึง 100-500 เท่า 

Astaxanthin

เมื่อทำงานร่วมกับวิตามิน E จะเกิดระบบป้องกันอนุมูลอิสระที่ครอบคลุมมากขึ้น โดย Astaxanthin จะช่วยฟื้นฟูวิตามิน E ที่ถูกใช้ไปในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้วิตามิน E สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การรับประทาน KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin สามารถช่วยเสริมระดับวิตามิน E ในร่างกาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ สมอง และการลดการอักเสบในร่างกาย 

 สั่งซื้อ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin ที่นี่

ปริมาณที่แนะนำและข้อควรระวัง

ปริมาณวิตามิน E ที่แนะนำต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปคือ 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.4 IU) โดยสำหรับผู้หญิงที่ให้นมบุตร แนะนำเพิ่มเป็น 19 มิลลิกรัมต่อวัน 

แม้ว่าวิตามิน E จะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่การได้รับในปริมาณมากเกินไป (โดยเฉพาะจากการเสริมอาหาร) อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เลือดออกง่ายผิดปกติ เนื่องจากวิตามิน E มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ กำหนดปริมาณสูงสุดที่ปลอดภัย (Tolerable Upper Intake Level หรือ UL) ของวิตามิน E ไว้ที่ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

คำแนะนำสำหรับการเสริมวิตามิน E อย่างปลอดภัย

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเสริมวิตามิน E โดยเฉพาะหากคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาบางชนิด
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือกำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • เลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพและปริมาณวิตามิน E ที่เหมาะสม
  • พยายามรับวิตามิน E จากอาหารธรรมชาติเป็นหลัก และใช้การเสริมเป็นทางเลือกเสริม

สรุป

วิตามิน E เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนเข้าใจ นอกเหนือจากการบำรุงผิวแล้ว วิตามิน E ยังมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ปกป้องสมองและระบบประสาท รวมถึงดูแลสุขภาพตา

การได้รับวิตามิน E อย่างเพียงพอจากอาหารหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่ดี และในบางกรณี การเสริมวิตามิน E อาจมีประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานร่วมกับสารอาหารที่ช่วยเสริมฤทธิ์กันอย่าง Omega-3 และ Astaxanthin ในผลิตภัณฑ์ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin

อย่างไรก็ตาม การรับประทานวิตามิน E เสริมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับในปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับสุขภาพของคุณ

 

Article by

klarity asia