March 07, 2024

เลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ควรดูจากอะไร

เลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ควรดูจากอะไร

เลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ควรดูจากอะไรบ้าง

การเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของน้ำมันปลา ปริมาณน้ำมันปลา (Fish Oil) ปริมาณ Omega-3 (EPA, DHA) ภายใน 1 เม็ด ควรดูส่วนประกอบให้ครบว่ามีสัดส่วนเท่าไหร่บ้าง เพื่อประโยชน์สูงสุดของสุขภาพสมอง ด้วยการทานน้ำมันปลา แล้วน้ำมันปลามีประโยชน์อะไรบ้าง น้ำมันปลาช่วยอะไรเกี่ยวกับสุขภาพสมองของคนเราบ้างล่ะ ?

สารบัญ

  • น้ำมันปลาช่วยอะไรเกี่ยวกับสุขภาพสมองบ้าง ?
  • 6 วิธีเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ และสัดส่วน Omega-3 (EPA,DHA) เหมาะสม
  • สรุป

 

น้ำมันปลาช่วยอะไรเกี่ยวกับสุขภาพสมองบ้าง ?

สุขภาพสมอง คือสิ่งสำคัญไม่แพ้กันกับสุขภาพร่างกาย เนื่องจากสมองนั้นมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดพักแม้เรากำลังหลับอยู่ก็ตาม เพื่อให้เรายังสามารถตื่นขึ้นมาได้อย่างปกติ โดยสมองนั้นใช้พลังงานที่ดึงมาจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่เรียกว่า Omega-3 แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเรานั้นไม่สามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้ขึ้นมาได้เอง จำเป็นจะต้องบริโภคจากแหล่งอาหารจำพวกปลาทะเล ผักใบเขียว ถั่ว เป็นต้น แต่คนส่วนมากไม่อยากทานปลาทุกมื้อเพื่อรับสารอาหารOmega-3 แต่ก็อยากบำรุงสมองเพื่อสุขภาพสมองที่ดี ดังนั้นทางเลือกที่ดีและง่ายกว่าอีกหนึ่งอย่างคือ การทานอาหารเสริมน้ำมันปลา (Fish Oil) เพื่อทดแทนการทานปลาในมื้ออาหารได้อย่างปลอดภัย

 

KLARITY จึงมีวิธีการเลือก น้ำมันปลา (Fish Oil) ที่มีคุณภาพดี ปลอดภัย และควรค่ากับสมองเรา มาแชร์ให้ทุกคนอ่านกัน

 

เริ่มบำรุงสมอง คลิกเลย !

วิธีเลือกน้ำมันปลา

6 วิธีเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ และสัดส่วน Omega-3 (EPA,DHA) เหมาะสม

มีหลายคนแล้วที่เลือกทานน้ำมันปลา (Fish Oil) เพื่อต้องการบำรุงสมอง แต่ก็ตกม้าตายกันตรงที่ไม่รู้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาที่เราเลือกทานนั้น เหมาะสมกับร่างกายเราหรือยัง ส่วนประกอบภายใน 1 เม็ดนั้นมีประโยชน์ที่สุดหรือยัง ซึ่งวิธีการเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ไม่ยากอย่างที่คิด โดยทำตาม 6 ขั้นตอนนี้
  • ดูแหล่งที่มาของน้ำมันปลา (Fish Oil) : น้ำมันปลาที่ดีมีคุณภาพนั้น จะมาจากปลาทะเลน้ำลึกจากธรรมชาติเท่านั้น เพื่อปริมาณของกรดไขมัน Omega-3  ที่เข้มข้น อีกทั้งยังต้องดูว่ามีการผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อน และโลหะหนักแล้ว

 

  • ดูปริมาณ EPA และ DHA ให้อยู่ในสัดส่วน 3:2 : ควรพลิกฉลากบนขวดเพื่อตรวจสอบปริมาณของกรดไขมัน Omega-3  ให้เรียบร้อยว่าใน 1 เม็ดจะได้รับปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการบำรุงสมองของ EPA และ DHA จะอยู่ที่ 3:2 อย่างเช่น EPA 180 mg. จะต้องมี DHA 120 mg. เป็นต้น

 

  • ควรเลือกแบบที่ไม่มีกลิ่นคาว : เนื่องจากกรดไขมัน Omega-3  เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ทำให้สลายตัวได้ง่าย จึงเสี่ยงต่อการเกิดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการมีกลิ่นคาวได้ง่าย

 

  • ต้องมีความสดใหม่ ไม่เหม็นหืน : หากน้ำมันปลามีกลิ่นเหม็นหืน ก็เท่ากับ น้ำมันปลา (Fish Oil) นั้นเสื่อมสภาพไปแล้ว

 

  • ควรบรรจุมาในรูปแบบ Soft Gels : เพื่อการป้องกันการสลายตัวของกรดไขมันไม่อิ่มตัว และลดกลิ่นคาว

 

  • บรรจุภัณฑ์ควรเป็นสีทึบแสง : เพื่อป้องกันแสงและอากาศ และควรเก็บในบริเวณที่ไกลแสงแดดด้วย

สรุป

จะเห็นได้ว่า การเลือกน้ำมันปลาที่ดีมีคุณภาพ ไม่ยากอย่างที่คิด แค่ต้องดูให้รอบคอบตรวจสอบให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง แต่การจะหาน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มาจากธรรมชาติโดยตรง ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เพราะ KLARITY มีผลิตภัณฑ์ Omega-3 Norway Daily น้ำมันปลาบริสุทธิ์ ไร้สารปนเปื้อนทางชีวภาพ รวมถึงโลหะหนัก สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกตามธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ บรรจุไว้ในซอฟท์เจลขนาดเล็ก ทานง่าย ไร้กลิ่นคาวปลา มีส่วนประกอบของน้ำมันปลา 500 มก. กรดไขมัน EPA 175 มก. และ DHA 125 มก. ต่อเม็ด ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสม และควรได้รับต่อวัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของสุขภาพสมองของคนไทย

 

สั่งซื้อตอนนี้ คลิกเลย !

 

สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมองของเราได้ที่นี่

Article by

klarity asia