June 19, 2025
สายตาพร่ามัว ไม่ใช่เรื่องเล็ก! 10 วิธีแก้ให้ดวงตากลับมาสดใส!

คุณเคยไหมที่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนนาน ๆ แล้วรู้สึกว่าดวงตาอ่อนล้า ตัวหนังสือเบลอ ๆ หรือภาพที่เห็นดูพร่ามัวไม่คมชัดเหมือนเดิม? บางทีก็ต้องหรี่ตา หรือขยี้ตาบ่อย ๆ เพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น ปัญหา "สายตาพร่ามัว" ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ควรมองข้าม เพราะในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดวงตาของเราต้องทำงานหนักขึ้นหลายเท่าตัว จนอาการพร่ามัวกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ไม่ใช่แค่ในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานด้วย
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการเหล่านี้...ไม่ต้องกังวลใจไป! บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกเรื่องเกี่ยวกับสายตาพร่ามัว ตั้งแต่สัญญาณเตือน สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ ไปจนถึง 10 วิธีแก้และดูแลดวงตา ที่จะช่วยให้ดวงตาของคุณกลับมาสดใสคมชัดอีกครั้ง พร้อมแนะนำตัวช่วยดี ๆ อย่าง KLARITY ที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลดวงตาของคุณจากภายในสู่ภายนอก
สายตาพร่ามัวคืออะไร? สัญญาณเตือนที่ดวงตาคุณกำลังบอก!
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า "สายตาพร่ามัว" ที่เรากำลังพูดถึงคืออะไร และอาการแบบไหนที่ถือเป็นสัญญาณเตือน สายตาพร่ามัวคือภาวะที่การมองเห็นไม่คมชัด มองเห็นวัตถุเป็นภาพเบลอ ๆ ไม่ชัดเจน หรือเหมือนมีหมอกหรือควันมาบังสายตา การมองเห็นอาจไม่ต่อเนื่อง หรืออาจเห็นภาพซ้อนได้
นอกจากอาการมองเห็นไม่ชัดแล้ว ผู้ที่มีสายตาพร่ามัวอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

- ปวดตา แสบตา หรือเคืองตา โดยเฉพาะหลังจากใช้สายตานาน ๆ
- ตาแห้ง รู้สึกเหมือนมีทรายเข้าตา หรือตาฝืด ๆ
- ปวดศีรษะ หรือวิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณขมับหรือหน้าผาก
- ตาล้า รู้สึกอ่อนเพลียที่ดวงตา ไม่สามารถจ้องมองสิ่งต่าง ๆ ได้นาน
- หรี่ตาบ่อย ๆ เพื่อพยายามโฟกัสภาพให้ชัดขึ้น
การมีอาการเหล่านี้แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรมองข้าม เพราะอาการพร่ามัวอาจเป็นแค่ความเหนื่อยล้าของดวงตาที่แก้ไขได้ง่าย แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพดวงตาที่ร้ายแรงกว่า หรือเป็นอาการจากโรคทางระบบอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาได้เช่นกัน
เจาะลึกสาเหตุของสายตาพร่ามัว
การเข้าใจสาเหตุที่ทำให้สายตาพร่ามัวจะช่วยให้คุณดูแลดวงตาได้ตรงจุดยิ่งขึ้น สาเหตุเหล่านี้มีตั้งแต่เรื่องใกล้ตัวไปจนถึงภาวะที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
สาเหตุทั่วไป
- การใช้สายตามากเกินไป / ตาล้า จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือนาน ๆ อ่านหนังสือในที่แสงน้อย หรือขับรถกลางคืนเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักจนพร่ามัวชั่วคราว
- ตาแห้ง น้ำตาไม่เพียงพอ หรือระเหยเร็วจากการจ้องจอในห้องแอร์ ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น
- สายตาผิดปกติที่ไม่ได้แก้ไข สายตาสั้น ยาว หรือเอียง ที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือค่าสายตาที่เปลี่ยนไป
- สายตายาวตามวัย (Presbyopia) ภาวะธรรมชาติที่เลนส์ตาเสื่อมตามอายุ ทำให้มองใกล้ไม่ชัด (มักเริ่มวัย 40+)
- ภาวะขาดสารอาหาร ดวงตาขาดวิตามิน A, วิตามินบีรวม, วิตามิน C, E, สังกะสี และโอเมก้า-3
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ยาบางประเภทอาจทำให้ตาแห้งหรือมองเห็นพร่ามัวชั่วคราว
สาเหตุที่ต้องระวัง / ปรึกษาแพทย์โดยด่วน
- ต้อกระจก (Cataracts) เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้มองเห็นมัวลงเรื่อย ๆ เหมือนมีหมอกบัง
- ต้อหิน (Glaucoma) ความดันในลูกตาสูง ทำลายเส้นประสาทตา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร
- จอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) จุดรับภาพชัดเสื่อม ทำให้มองเห็นบริเวณกลางภาพพร่ามัวหรือบิดเบี้ยว (พบบ่อยในผู้สูงอายุ)
- เบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) หลอดเลือดในจอประสาทตาเสียหายจากเบาหวานที่ไม่คุมน้ำตาล
- การอักเสบ / ติดเชื้อในดวงตา เช่น เยื่อบุตาอักเสบ ทำให้ตาแดง ปวด และพร่ามัว
10 วิธีแก้และดูแลดวงตา คืนความสดใสให้ดวงตาของคุณ!
เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้สายตาพร่ามัวแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือดูแลดวงตาของเราให้กลับมาสดใสและคมชัดเหมือนเดิม ด้วย 10 ทางเลือกง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
1. พักสายตาให้เป็นเวลา (กฎ 20-20-20) นี่คือกฎทองสำหรับคนติดหน้าจอเลย ทุก ๆ 20 นาทีที่คุณจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือ ลองละสายตาจากจอ แล้วมองวัตถุที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาที่ทำงานหนักได้ผ่อนคลาย และลดอาการตาล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองตั้งเตือนในโทรศัพท์ก็ได้นะ
2. ใช้แสงสว่างให้เพียงพอและเหมาะสม การอ่านหนังสือ ทำงาน หรือจ้องหน้าจอในที่มืดสลัว จะทำให้ดวงตาต้องเพ่งหนักขึ้นและเกิดอาการตาล้าได้ง่าย ควรปรับแสงสว่างในห้องให้พอเหมาะ ไม่สว่างจ้าหรือมืดเกินไป และปรับความสว่างของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พอดีกับสภาพแวดล้อม ไม่จ้าจนแสบตาหรือมืดจนต้องเพ่ง
3. ปรับระยะห่างและตำแหน่งการมองเห็น สำหรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรวางห่างจากตาประมาณ 20-28 นิ้ว (หรือประมาณ 1 ช่วงแขน) โดยให้ขอบบนของจออยู่ระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย ส่วนการใช้สมาร์ทโฟน ควรวางห่างจากตาประมาณ 1 ฟุต การปรับระยะที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการตาล้า ปวดคอ และช่วยให้ดวงตาทำงานได้สบายขึ้น
4. กระพริบตาให้บ่อยขึ้น เวลาที่เราจ้องหน้าจอหรืออ่านหนังสือเพลิน ๆ เรามักจะกระพริบตาน้อยลงมาก ทำให้ตาแห้งและพร่ามัว ลองฝึกกระพริบตาให้บ่อยขึ้นอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกตาแห้งหรือตาล้า การกระพริบตาจะช่วยกระจายน้ำตาให้เคลือบผิวดวงตาได้อย่างทั่วถึง และรักษาความชุ่มชื้น
5. ใช้น้ำตาเทียมเมื่อจำเป็น หากมีอาการตาแห้งบ่อย ๆ การใช้น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ควรเลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสียหากต้องใช้เป็นประจำ และปรึกษาเภสัชกรเพื่อเลือกประเภทที่เหมาะสมกับอาการของคุณ

6. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยให้ร่างกายและดวงตาชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก ทำให้การผลิตน้ำตาเป็นไปอย่างปกติ รวมทั้งควรปรับพฤติกรรมการนอน
7. ทานอาหารบำรุงสายตา อาหารที่เราทานมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตา การเลือกทาน Superfood ที่ดีต่อดวงตาจะช่วยให้คุณมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนและสดใสยิ่งขึ้นค่ะ ลองเพิ่มอาหารเหล่านี้ในมื้อของคุณ เช่น วิตามิน A, วิตามิน C, สังกะสี (Zinc), ลูทีน ซีแซนทีน และกรดไขมันโอเมก้า-3
ตัวช่วยจาก KLARITY เติมเต็มโอเมก้า-3 เพื่อดวงตาคู่สวย
ในยุคที่เราต้องใช้สายตาอย่างหนัก และการทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย KLARITY ขอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยดูแลดวงตาของคุณจากภายในสู่ภายนอก KLARITY Omega-3 Norway Daily: อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 คุณภาพพรีเมียมจากปลาทะเลน้ำลึกนอร์เวย์ ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทตา ลดอาการตาแห้ง และเสริมสร้างสุขภาพดวงตาโดยรวม 🛒Shopee: https://bit.ly/4kNtrCZ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin: สำหรับผู้ที่ต้องการการบำรุงและปกป้องดวงตาในระดับเข้มข้น ผลิตภัณฑ์นี้มาพร้อมโอเมก้า-3 ในปริมาณที่สูงขึ้น และเพิ่มพลังด้วย Astaxanthin (แอสตาแซนธิน) สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงจากสาหร่ายทะเล ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้าและอนุมูลอิสระ ลดอาการตาล้า 🛒Shopee: https://bit.ly/4kNtrCZ |
8. ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม หากคุณมีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ควรได้รับการตรวจวัดสายตาและตัดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับค่าสายตาปัจจุบัน การใช้แว่นที่ไม่ตรงค่า หรือคอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด อาจทำให้เกิดอาการพร่ามัว ปวดตา และปัญหาสุขภาพตาอื่น ๆ ได้
9. รักษาโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อสายตา โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง สามารถส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดและโครงสร้างภายในดวงตาได้ หากคุณมีโรคประจำตัวเหล่านี้ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
10. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ อย่ารอให้มีอาการหนักแล้วค่อยไปหาหมอ การตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญมากในการตรวจหาความผิดปกติของดวงตาในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงทีและป้องกันปัญหาที่รุนแรงขึ้น

สรุป ดูแลดวงตาให้ดี ชีวิตก็สดใส มองเห็นโลกชัดเจนขึ้น!
ดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่ล้ำค่าและทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาในโลกที่เต็มไปด้วยแสงสีและหน้าจอ การดูแลเอาใจใส่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามเลย การที่สายตาพร่ามัวอาจเป็นแค่ความเหนื่อยล้า แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนจากดวงตาถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าได้
ดังนั้น การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม การทานอาหารบำรุงสายตาที่อุดมด้วยสารอาหารสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโอเมก้า-3 ลูทีน ซีแซนทีน และวิตามินต่าง ๆ และที่สำคัญคือการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ คือหัวใจสำคัญในการคืนความสดใสและความคมชัดให้ดวงตาของคุณ
ลองนำ 10 วิธีแก้และดูแลดวงตาที่เราแนะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และหากคุณกำลังมองหาตัวช่วยที่จะมาเสริมทัพการบำรุงดวงตาจากภายในสู่ภายนอก ลองพิจารณาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจาก KLARITY อย่าง KLARITY Omega-3 Norway Daily และ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin เพื่อดวงตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น