December 21, 2024
ปวดหัวไมเกรน เกิดจากอะไร? ส่อง 13 สาเหตุและวิธีป้องกัน
ไมเกรนเป็นอาการปวดหัวที่หลายคนต้องเผชิญอยู่บ่อย ๆ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวันได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะทำให้การเรียนเป็นเรื่องยากขึ้น คิดงานไม่ออก หรือแม้แต่กระทบต่ออารมณ์ สำหรับผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรังหรือกำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นไมเกรนหรือไม่ การหาสาเหตุและศึกษาวิธีป้องกันเป็นเรื่องสำคัญ บทความนี้ KLARITY ขอพาทุกคนไปไขข้อสงสัยว่า “ปวดหัวไมเกรน เกิดจากอะไรได้บ้าง?”
ปวดหัวไมเกรนคืออะไร? ต่างจากปวดหัวทั่วไปไหม
ไมเกรนไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดา! แต่เป็นอาการปวดที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากการปวดหัวแบบทั่วไปที่มักเกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อ เช่น อาการปวดหัวจากการทำงานหนักหรือการนอนน้อย ในขณะที่ไมเกรนมักมีอาการปวดที่รุนแรงและมักจะเกิดขึ้นข้างเดียวของศีรษะ บางครั้งอาจจะมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือไวต่อแสงและเสียงด้วย นอกจากนี้ไมเกรนยังอาจทำให้คุณไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติอีกด้วย อีกทั้งยังกินเวลานานในการปวดแต่ละครั้ง
ปวดหัวไมเกรน เกิดจากอะไร? 13 สาเหตุหลักของอาการปวดหัวไมเกรน
ไมเกรนเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท โดยเซโรโทนิน (serotonin) ในสมองจะลดลง ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดและเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรนสามารถเกิดได้จาก 13 สาเหตุที่พบได้บ่อย ดังนี้
1. ฮอร์โมน (Hormones)
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือช่วงหมดประจำเดือน งานวิจัยพบว่าในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เอสโตรเจนในร่างกาย มักจะทำให้ผู้หญิงบางคนประสบกับไมเกรนได้บ่อยขึ้น
2. ความเครียด (Stress)
ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยในการกระตุ้นอาการไมเกรน เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด ระบบประสาทจะตอบสนองโดยการหลั่งสารเคมีในสมอง เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรับมือกับความเครียดและการทำงานหนัก โดยคอร์ติซอลจะมีบทบาทในการกระตุ้นการตอบสนองต่อภัยคุกคามของร่างกาย แต่เมื่อระดับคอร์ติซอลสูงเกินไป จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองและหลอดเลือดได้
การหลั่งคอร์ติซอลในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ นอกจากนี้ ความเครียดยังสามารถทำให้สมองมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเช่นเสียงดัง แสงจ้า หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ง่ายขึ้น
3. การขาดการนอนหลับ (Sleep deprivation)
การนอนไม่เพียงพอหรือการมีปัญหาการนอนหลับทำให้เกิดไมเกรนได้ การศึกษาพบว่าไมเกรนมักเกิดขึ้นในผู้ที่นอนน้อยหรือไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มที่ โดยการนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและการควบคุมความเจ็บปวด
4. การข้ามมื้ออาหาร (Skipped meals)
การข้ามมื้ออาหารหรือการทานอาหารไม่ตรงเวลาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ส่งผลให้เกิดอาการไมเกรน โดยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไมเกรน นอกจากนี้การขาดสารอาหารที่จำเป็นยังเสี่ยงต่อการเกิดอาการไมเกรนอีกด้วย
อ่านเพิ่ม สัญญาณของอาการขาดโอเมก้า 3 ส่งผลต่อไมเกรนหรือไม่?
5. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Weather changes)
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น หรือความดันบรรยากาศสามารถกระตุ้นอาการไมเกรนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ไม่ว่าจะหนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป ก็สามารถกระตุ้นให้คนเราเกิดความเครียดจนมีอาการปวดไมเกรนตามมาได้
6. คาเฟอีน (Caffeine)
คาเฟอีนมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่อผู้ที่มีอาการไมเกรน โดยบางคนที่กินเครื่องดื่มหรืออาหารที่คาเฟอีนบ่อย ๆ จะมีอาการไมเกรนเมื่อหยุดทานหรือดื่มมากเกินไป ใครที่ดื่มกาแฟทุกวันแล้วไม่ดื่มไปสักวัน ก็จะรู้สึกปวดหัว ไม่มีแรง และเครียดง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายปรับตัวต่อการขาดคาเฟอีน
คาเฟอีนทำหน้าที่กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความตื่นตัว แต่เมื่อหยุดทานทันที ร่างกายอาจเกิดการขาดสารนี้ ทำให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว หรือแม้กระทั่งการเสพติดคาเฟอีนในระยะยาว ทำให้ความไวต่อการเกิดไมเกรนเพิ่มขึ้น
7. อาหารบางชนิด (Certain foods)
อาหารบางประเภท เช่น ชีส, ช็อกโกแลต, อาหารที่มีสารปรุงแต่ง เช่น ไนเตรต (Nitrates) และ MSG (Monosodium Glutamate) สามารถกระตุ้นอาการไมเกรนได้ โดย ชีส และ ช็อกโกแลต มีสารที่สามารถกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง ทำให้เกิดอาการปวดหัว ในขณะที่ ไนเตรต ในอาหารแปรรูปอย่างแฮมและเบคอน ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน ส่วน MSG ซึ่งพบในอาหารจานด่วนหรืออาหารแปรรูป อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวในบางคน การระมัดระวังและหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรนได้
(อ้างอิงจาก American Migraine Foundation (2022). Foods to Avoid with Migraines.)
8. การขาดน้ำ (Dehydration)
การดื่มน้ำไม่เพียงพอหรือขาดน้ำสามารถกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ เมื่อร่างกายขาดน้ำ สมองจะขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้หลอดเลือดในสมองหดตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ นอกจากนี้ การขาดน้ำยังสามารถทำให้สารเคมีในสมองเกิดความไม่สมดุล ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและกระตุ้นอาการปวดหัว การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไมเกรน
9. การใช้ยาบางชนิด (Pharmaceutical drugs)
การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิดหรือยาที่มีผลต่อฮอร์โมน อาจกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนได้ โดยเฉพาะเมื่อหยุดยาหรือการเปลี่ยนแปลงของยามีผลข้างเคียง
10. แอลกอฮอล์ (Alcohol)
การดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถกระตุ้นไมเกรนได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการเกิดอาการปวดหัว
11. แสงจ้า (Bright Lights)
แสงจ้าหรือแสงสว่างที่มีความเข้มข้นสูงสามารถกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไวต่อแสง แสงจ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ก็สามารถกระตุ้นอาการได้เช่นกัน
12. เสียงดัง (Loud noises)
เสียงดังเกินไปอาจทำให้เกิดอาการไมเกรนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการไวต่อเสียงดังหรือสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังติดต่อกัน ซึ่งสามารถเพิ่มความเครียดและกระตุ้นให้เกิดไมเกรน
13. ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Low blood sugar)
ระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำสามารถกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ โดยเฉพาะเมื่อข้ามมื้ออาหารหรือไม่ทานอาหารอย่างสม่ำเสมอ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำเกินไป ร่างกายจะตอบสนองด้วยการหลั่งฮอร์โมน เช่น อะดรีนาลิน ซึ่งสามารถทำให้หลอดเลือดในสมองหดตัวและกระตุ้นอาการปวดหัวไมเกรนได้ การทานอาหารให้ครบมื้อและหลีกเลี่ยงการข้ามมื้ออาหารจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรน
เคล็ดลับป้องกันไมเกรน
แม้จะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดไมเกรน แต่ก็สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลตัวเองง่าย ๆ เช่น การจัดการความเครียดให้ดี การดื่มน้ำให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อีกทั้งการเสริม KLARITY Omega-3 Norway Daily ยังช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรน
KLARITY Omega-3 Norway Daily ประโยชน์เต็ม ๆ จากโอเมก้า 3 นอร์เวย์
- บำรุงสมองและระบบประสาท: Omega-3 ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองและระบบประสาทให้แข็งแรง ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไมเกรนที่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง
- ลดการอักเสบ: Omega-3 มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดหัวจากไมเกรนได้
- ปรับปรุงการไหลเวียนเลือด: ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ซึ่งอาจลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรนที่มีสาเหตุมาจากการหดตัวหรือขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง
- ช่วยรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: การทาน Omega-3 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเกิดไมเกรนได้
|
สรุปบทความ
อาการปวดหัวไมเกรนเกิดจากหลายปัจจัยที่สามารถกระตุ้นอาการได้ เช่น ความเครียด การขาดน้ำ การพักผ่อนน้อย การกินอาหารบางชนิด หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้หลอดเลือดในสมองหดตัวหรือขยายตัว ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ นอกจากนี้ การทานยาบางชนิด การข้ามมื้ออาหาร หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำก็สามารถทำให้เกิดอาการไมเกรนได้เช่นกัน
เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดไมเกรน สามารถทำได้โดยการจัดการความเครียดให้ดี การดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการไมเกรน และการพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ การเสริม KLARITY Omega-3 Norway Daily ยังช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ลดการอักเสบ และปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง ที่สำคัญหากมีอาการรุนแรงหรือปวดเรื้อรังควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเพิ่มเติม