June 22, 2025
วิธีแก้เครียด คิดมาก 7 เทคนิคจัดการใจให้สงบ

ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทายในปัจจุบัน ความเครียด และ ความคิดมาก ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความกดดันจากการทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคต หรือแม้แต่การรับข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ล้วนส่งผลให้จิตใจของเราถูกรบกวน จนอาจนำไปสู่อาการทางกายและใจที่รุนแรงขึ้นได้ หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง
KLARITY เราเข้าใจดีว่าการมีสุขภาพกายและใจที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิตที่มีคุณภาพ บทความนี้พร้อมพาไปคลายเครียดสมองด้วย 7 เทคนิควิธีแก้เครียด คิดมาก ที่ช่วยจัดการกับความเครียดและความคิดมากได้อย่างมีดีให้คุณกลับมาพบกับความสงบในจิตใจ และผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง พร้อมตัวช่วยเสริมอาหารจาก KLARITY ที่พร้อมเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพกายและใจของคุณ
ทำความเข้าใจกับความเครียดและความคิดมาก
ก่อนที่เราจะไปถึงวิธีการแก้ไข สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจก่อนว่าความเครียดและความคิดมากคืออะไร และส่งผลต่อเราอย่างไร
ความเครียด (Stress) คือปฏิกิริยาของร่างกายและจิตใจต่อสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่คุกคามหรือเป็นภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยจริงหรือที่เราคิดไปเอง ความเครียดในระดับที่พอเหมาะสามารถช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากความเครียดสะสมเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการผ่อนคลาย ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจ เช่น อาการปวดหัว ปวดท้อง นอนไม่หลับ ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
ความคิดมาก (Overthinking) คือการจมปลักอยู่กับความคิดเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ไม่สามารถหยุดคิดได้ มักจะวนเวียนอยู่กับความกังวลในอดีต ความไม่แน่นอนในอนาคต หรือการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ จนเกินความจำเป็น แม้ความคิดมากจะไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงโดยตรง แต่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการใช้ชีวิตประจำวัน
7 เทคนิคจัดการใจให้สงบ ผ่อนคลายได้จริง
7 เทคนิคที่คุณสามารถนำไปปรับใช้เพื่อจัดการกับความเครียดและความคิดมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ฝึกสติและการหายใจ (Mindfulness and Mindful Breathing)
การฝึกสติคือการตั้งใจอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างไม่ตัดสิน ทำให้เราสามารถสังเกตความคิด ความรู้สึก และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้อย่างตระหนักรู้ โดยไม่จมดิ่งไปกับมัน หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นฝึกสติคือการฝึกหายใจอย่างมีสติ
วิธีปฏิบัติ
- หาสถานที่เงียบสงบ นั่งในท่าที่สบาย
- หลับตาเบา ๆ หรือทอดสายตาไปยังจุดใดจุดหนึ่ง
- จดจ่อกับการหายใจเข้าและหายใจออกอย่างช้า ๆ ลึก ๆ
- สังเกตความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกจมูก หน้าอก และท้อง
- หากความคิดฟุ้งซ่านเข้ามา ให้รับรู้ถึงมันและค่อยๆ นำความสนใจกลับมาที่ลมหายใจอย่างอ่อนโยน
- ทำต่อเนื่อง 5-10 นาทีในตอนเช้าและก่อนนอน หรือเมื่อรู้สึกว่าความเครียดเริ่มคืบคลานเข้ามา
การฝึกหายใจลึก ๆ ช้า ๆ จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งเป็นระบบที่รับผิดชอบการผ่อนคลายของร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง และความรู้สึกสงบเข้ามาแทนที่
2. กำหนดเวลาให้ตัวเองได้ "คิด" (Scheduled Worry Time)
สำหรับผู้ที่ชอบคิดมาก การพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดอาจยิ่งทำให้ความคิดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวมากขึ้น เทคนิคนี้คือการจัดสรรเวลาเฉพาะสำหรับการคิดมากโดยเฉพาะ
วิธีปฏิบัติ
- กำหนดช่วงเวลา 15-30 นาทีในแต่ละวัน (เช่น ช่วงบ่าย หรือตอนเย็น) เพื่อให้ตัวเองได้คิดและกังวลอย่างเต็มที่
- ในช่วงเวลาที่กำหนดนี้ คุณสามารถเขียนสิ่งที่กังวลลงไปในสมุด บ่นออกมาดัง ๆ หรือจะคิดอะไรก็ได้ที่คุณอยากคิด
- เมื่อหมดเวลาที่กำหนดแล้ว ให้พยายามหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และกลับมาโฟกัสกับกิจกรรมอื่น ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
- หากความคิดที่กังวลผุดขึ้นมานอกช่วงเวลาที่กำหนด ให้บอกตัวเองว่า "เดี๋ยวค่อยกลับไปคิดเรื่องนี้ใน 'ช่วงเวลาคิดมาก' ของฉัน"
เทคนิคนี้จะช่วยให้สมองของคุณเรียนรู้ว่ามีเวลาที่เหมาะสมในการจัดการกับความคิดที่กังวล และทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตในช่วงเวลาอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Physical Activity)
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์ เมื่อเราออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกดี และลดฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล ลงได้
วิธีปฏิบัติ
- เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือปั่นจักรยาน 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์
- ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักหน่วง เพียงแค่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ
- หากไม่มีเวลามากพอ ลองแบ่งออกเป็นช่วงสั้น ๆ เช่น เดิน 10 นาที 3 ครั้งต่อวัน
- การออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น การเดินในสวนสาธารณะ หรือการวิ่งในธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความเครียดได้มากขึ้น
4. กำหนดเวลาใช้งานมือถือ (Digital Detox)
ในยุคดิจิทัลที่เราถูกเชื่อมต่อกับข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา การรับรู้ข้อมูลที่มากเกินไป โดยเฉพาะข่าวร้ายหรือโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ อาจเป็นสาเหตุสำคัญของความเครียดและความคิดมากได้
วิธีปฏิบัติ
- กำหนดช่วงเวลาปลอดโซเชียลมีเดียหรือข่าวสารในแต่ละวัน เช่น งดใช้โทรศัพท์ 1 ชั่วโมงก่อนนอน
- ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นบนโทรศัพท์มือถือ
- จำกัดเวลาการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน
- ลองทำกิจกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าจอ เช่น อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรก หรือพูดคุยกับคนที่คุณรัก
การสร้างขอบเขตดิจิทัลจะช่วยให้สมองของคุณได้พักผ่อน ลดการรับรู้ข้อมูลที่เกินจำเป็น และเปิดโอกาสให้คุณได้ใช้เวลากับสิ่งที่มีความหมายในชีวิตมากขึ้น
5. ทานอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอต่อร่างกาย (Balanced and Nutritious Diet)
อาหารที่เรากินมีผลอย่างมากต่ออารมณ์และสุขภาพจิต การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ป้องกันความผันผวนของอารมณ์ และให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง
วิธีปฏิบัติ
- เลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี
- ลดการบริโภคน้ำตาลทรายขาว เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้อาการวิตกกังวลแย่ลง
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน
-
เสริมด้วยผลิตภัณฑ์จาก KLARITY ที่ช่วยบำรุงสมองและลดความเครียด
- Omega-3 Norway Daily กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ EPA และ DHA มีบทบาทสำคัญในการทำงานของสมองและระบบประสาท ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้
- Japan Ginkgo Biloba จาก KLARITY สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีชื่อเสียงในการช่วยบำรุงสมอง เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังสมอง ซึ่งอาจช่วยปรับปรุงความจำ สมาธิ และลดอาการวิตกกังวลที่เกิดจากภาวะสมองล้าได้ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีเช่น Japan Ginkgo Biloba จาก KLARITY จะช่วยให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพ (Sufficient and Quality Sleep)
การนอนหลับที่ไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเครียดและความคิดมากแย่ลง เพราะร่างกายและสมองไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ การนอนหลับที่ดีจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเคมีที่จำเป็นต่อการควบคุมอารมณ์และลดความเครียด
วิธีปฏิบัติ
- เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน แม้ในวันหยุด เพื่อสร้างวงจรการนอนหลับที่เป็นปกติ
- สร้างสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เหมาะสมกับการนอนหลับ เช่น มืดสนิท เงียบสงบ และมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น
- งดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแสงสีฟ้าก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- หากมีปัญหาการนอนหลับเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
7. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น (Professional Help)
แม้ว่าเทคนิคข้างต้นจะช่วยได้มาก แต่บางครั้งความเครียดและความคิดมากอาจรุนแรงเกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองได้ หากคุณรู้สึกว่าอาการของคุณเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ได้ หรือมีอาการทางกายที่ผิดปกติ
วิธีปฏิบัติ
- อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักบำบัด
- การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณเข้าใจต้นตอของปัญหา และเรียนรู้วิธีจัดการกับความรู้สึกและความคิดได้อย่างถูกต้อง
- การบำบัดทางจิตวิทยา เช่น การบำบัดพฤติกรรมและความคิด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
สรุป
การจัดการกับความเครียดและความคิดมากเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความอดทน และการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีวิธีใดที่จะได้ผลกับทุกคน แต่การนำ 7 เทคนิคข้างต้นไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันจะช่วยให้คุณค้นพบความสมดุลและความสงบในจิตใจได้อย่างแท้จริง
ที่ KLARITY เราเชื่อมั่นว่าการดูแลสุขภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย การให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง ทั้งการพักผ่อน การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการกับความคิดเชิงลบ จะนำมาซึ่งชีวิตที่ผ่อนคลาย มีความสุข และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยเพิ่มเติม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพสูงจาก KLARITY อาทิ Omega-3 Norway Daily / Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin และ Japan Ginkgo Biloba ก็สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการบำรุงสมองและเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างครบวงจร เพื่อให้คุณพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในชีวิตได้อย่างมั่นใจ