October 24, 2025

โรคลมชัก (Epilepsy) ห้ามกินอะไร? พร้อมอาหารที่ควรทานประจำ

โรคลมชัก (Epilepsy) ห้ามกินอะไร

โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นภาวะทางระบบประสาทเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการชักซ้ำ ๆ การจัดการโรคลมชักไม่ใช่แค่การใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการปรับไลฟ์สไตล์ การควบคุมอาหาร และในบางกรณีอาจรวมถึงการผ่าตัด การเข้าใจว่าอาหารชนิดใดควรหลีกเลี่ยงและอาหารชนิดใดควรรับประทานเป็นประจำ สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักได้ ในบทความนี้ KLARITY พร้อมไขข้อสงสัยเรื่องนี้  

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยลมชัก

ผู้ป่วยลมชักควรระวังอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่อาจกระตุ้นอาการชัก ได้แก่

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยลมชัก
  1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ เหล้า แอลกอฮอล์สามารถเปลี่ยนสมดุลสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดอาการชักได้ง่ายขึ้น
  2. กาแฟและเครื่องดื่มกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง คาเฟอีนจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางมากเกินไป ส่งผลให้ความเสี่ยงต่ออาการชักสูงขึ้น
  3. น้ำอัดลม มีทั้งน้ำตาลและคาเฟอีน ซึ่งสามารถกระตุ้นอาการชักและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่
  4. น้ำตาลและอาหารแปรรูป เช่น เค้ก ขนมขบเคี้ยว ขนมหวานสำเร็จรูป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงเร็ว ส่งผลต่อการทำงานของสมอง
  5. สารปรุงแต่งอาหาร เช่น สีสังเคราะห์ สารกันบูด บางงานวิจัยพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นอาการชักในบางบุคคล
  6. ผงชูรส (MSG) พบได้ในอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส อาจมีผลต่อระบบประสาทและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชัก

การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชักและเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาหารที่ควรรับประทานเพื่อบำรุงสมอง

อาหารที่ควรรับประทานเพื่อบำรุงสมอง

เพื่อเสริมการทำงานของสมองและลดอาการชัก ควรเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้แก่

  • อาหารเต็มเมล็ด (Whole foods) ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ผักและผลไม้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อระบบประสาท
  • ปลา อุดมด้วยโอเมก้า 3 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและปกป้องสมอง
  • ถั่วและเมล็ดพืช เป็นแหล่งไขมันดีและสารอาหารสำคัญ
  • เนื้อไม่ติดมันและพืชตระกูลถั่ว ให้โปรตีนคุณภาพสูงที่สมองต้องการ

การรับประทานอาหารเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยลมชักโดยเฉพาะในเด็ก

สารอาหารเสริมที่ช่วยควบคุมอาการชัก

นอกจากการเลือกรับประทานอาหารแล้ว การเสริมสารอาหารเฉพาะสามารถช่วยจัดการอาการชักได้ เช่น

  • วิตามิน B6 จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาท พบในไก่ ปลา กล้วย มันฝรั่ง
  • วิตามิน D3 มีบทบาทสำคัญต่อระบบประสาทและลดความรุนแรงของอาการชัก พบในปลาหรือเลือกรับประทานเป็นอาหารเสริม
  • โอเมก้า 3 มีคุณสมบัติปกป้องสมองและต้านการอักเสบได้ เช่น KLARITY Omega-3 Norway Daily และ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin เป็นตัวช่วยเสริมโอเมก้า 3 คุณภาพสูง

 

รูปแบบอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยลมชัก

การเลือกอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักได้ มีหลายรูปแบบที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยลมชัก อาทิ 

Ketogenic diet (คีโตเจนิก ไดเอท)

  • อาหารไขมันสูง โปรตีนปานกลาง และคาร์โบไฮเดรตต่ำ
  • ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ คีโตซิส ซึ่งใช้ไขมันเป็นพลังงานหลักแทนคาร์โบไฮเดรต
  • การเข้าสู่ภาวะคีโตซิสสามารถลดความถี่ของอาการชักได้
  • ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการ

Low Glycaemic Index diet (อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ)

  • เน้นอาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  • ลดความเสี่ยงที่ระดับน้ำตาลขึ้นลงรวดเร็ว ซึ่งอาจกระตุ้นอาการชัก

Mediterranean diet (อาหารเมดิเตอร์เรเนียน)

  • อุดมด้วยอาหารที่ปกป้องสมอง เช่น ปลา ถั่ว น้ำมันมะกอก ผักใบเขียว
  • มีประโยชน์ต่อระบบประสาท ลดการอักเสบ และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างสมดุล

สรุป

การจัดการโรคลมชักต้องทำอย่างครบวงจร ทั้งการใช้ยา การปรับไลฟ์สไตล์ และการเลือกรูปแบบอาหารที่เหมาะสม การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่ออาการชัก

ข้อมูลอ้างอิง

  • Yuen AW, et al. “Omega-3 Fatty Acid Supplementation for Drug-Resistant Epilepsy: A Randomized Controlled Trial.” Epilepsy Research, 2005.
  • Holick MF, et al. “Vitamin D: A D-Lightful Health Perspective.” Journal of Neurology, 2008.
  • Kossoff EH, et al. “The Ketogenic Diet in Children: A Randomized, Controlled Trial.” Journal of Child Neurology, 2007.

Article by

klarity asia