September 03, 2024
ข้อแตกต่างระหว่างการกินเนื้อปลาจริงกับน้ำมันปลา (Fish Oil)
ทานเนื้อปลาเยอะก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป เพราะปลาที่บริโภคไปนั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มีสารปรอท หรือ โลหะหนักปนเปื้อนอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังได้ปริมาณ Omega-3 ที่สูงมากใน 1 มื้ออาหาร โดยข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างการกินเนื้อปลาจริงกับน้ำมันปลา คือ น้ำมันปลาสามารถควบคุมปริมาณสารอาหารที่สำคัญอย่างกรดไขมัน Omega-3 ที่เราจะได้รับใน 1 วันได้อย่างแม่นยำ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทานเมนูปลา ซ้ำ ๆ จำเจด้วย
ทำไมกินปลาแล้วฉลาด ?
อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ๆ คือ คนที่กินปลามักจะฉลาด หัวไว ความจำดี เป็นเพราะปลาอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญและร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้อย่าง Omega-3 ประกอบไปด้วย EPA และ DHA ที่มีบทบาทในการพัฒนาสมอง บำรุงสมองโดยตรง ด้วยความที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ จึงต้องได้รับจากการบริโภคเท่านั้น อีกทั้งปลาก็ยังเป็นแหล่งสารอาหาร Omega-3 ที่สามารถหาได้ง่าย และราคาไม่แพง แต่ทานเยอะมากเกินไปเสี่ยงสะสมสารปรอท หรือโลหะหนัก ที่ปนเปื้อนอยู่ในปลาได้ ซึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและสะดวกกว่าก็คือคือการทานน้ำมันปลานั่นเอง
น้ำมันปลา (Fish Oil) มีประโยชน์ยังไง ?
น้ำมันปลา (Fish Oil) คือน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนต่าง ๆ ของปลาทะเลน้ำลึก อุดมไปด้วยกรดไขมัน Omega-3 ที่ประกอบด้วยกรดไขมัน EPA และ DHA ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แล้วกรดไขมันทั้งสองอย่างนี้มีประโยชน์ยังไงบ้าง ?
กรดไขมัน DHA (Docosahexaenoic acid)
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
- บำรุงสมอง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในสมอง ป้องกันอาการโรคอัลไซเมอร์
- บำรุงสายตา ช่วยเรื่องการมองเห็น ลดอาการตาล้าจากหน้าจอ
- บำรุงสุขภาพผิว ผม และเล็บให้แข็งแรง
กรดไขมัน EPA (Eicosapentaenoic acid)
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
- ช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือด
- ลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์
- ดูแลสุขภาพข้อต่อ ช่วยอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ
ซึ่งกรดไขมันทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในร่างกายมาก จึงจำเป็นต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพสมองที่ดี
กินน้ำมันปลาแทนเนื้อปลาเลยได้มั้ย ?
น้ำมันปลา (Fish Oil) สามารถกินทุกวันได้ และกินแทนเนื้อปลาได้เลย เพราะการกินน้ำมันปลาสามารถควบคุมการรับสารอาหารที่สำคัญอย่าง Omega-3 ได้ ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป หากกินมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายเรื่องไตรกลีเซอไรด์หรือไขมันร้ายส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ อยู่ในน้ำมันปลาบางแบรนด์ จึงต้องศึกษาการเลือกน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี และบำรุงสมองอย่างมีประสิทธิภาพ
KLARITY มีสิ่งดี ๆ มาแนะนำอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Omega-3 Norway Daily น้ำมันปลาบริสุทธิ์ ไร้สารปนเปื้อนทางชีวภาพ รวมถึงโลหะหนัก สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกตามธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ บรรจุไว้ในซอฟท์เจลขนาดเล็ก ทานง่าย ไร้กลิ่นคาวปลา มีส่วนประกอบของน้ำมันปลา 500 มก. กรดไขมัน EPA 175 มก. และ DHA 125 มก. ต่อเม็ด ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสม และควรได้รับต่อวัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของสุขภาพสมองของคนไทย
สั่งซื้อตอนนี้ คลิกเลย !
|
คนเราควรได้รับปริมาณ Omega-3 เท่าไหร่ใน 1 วัน
ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงควรได้รับปริมาณ Omega-3 ที่เหมาะสมที่สุดคือ 500 mg. ต่อวัน ส่วนผู้ที่ต้องการรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสมอง หัวใจ และไขข้อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายอย่างปลอดภัย
สรุป
น้ำมันปลา (Fish Oil) แตกต่างจากเนื้อปลาจริง ในด้านการควบคุมปริมาณสารอาหารที่จะได้รับ และความสะอาด ไร้สารปรอท หรือโลหะหนัก อีกทั้งยังสามารถทานอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ต้องกินปลาซ้ำ ๆ จำเจ ทำให้มีความสุขกับการบำรุงสุขภาพสมองแบบมีวินัย ไม่ใช่เป็นแค่เพียงแรงฮึด
เริ่มบำรุงสมอง คลิกเลย !
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมองของเราได้ที่นี่