April 29, 2025
ภาวะหมดไฟ แก้ยังไง เกิดจากอะไร? วิธีทำให้กลับมามีไฟอีกครั้ง

เคยมั้ย… ตื่นเช้ามาแล้วไม่อยากลุกจากเตียง งานที่เคยชอบก็กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะดูแลตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรมากวนใจ นั่นแหละคือ "ภาวะหมดไฟ" หรือที่ใครหลายคนรู้จักในชื่อ Burnout
แม้จะฟังดูเหมือนแค่เหนื่อยชั่วคราว แต่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง ภาวะหมดไฟอาจกลายเป็นกับดักทางอารมณ์ที่พาให้สุขภาพกายและใจพังได้แบบไม่รู้ตัว แล้วเราจะเริ่มจากตรงไหน? บทความนี้ KLARITY มีคำตอบ
ภาวะหมดไฟคืออะไร?
ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) คือภาวะที่จิตใจและร่างกาย “ล้า” อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การเหนื่อยธรรมดาหลังทำงานหนักวันสองวัน แต่มันคือความรู้สึกว่า “ไม่มีแรงจะไปต่อ” แบบเรื้อรัง เหมือนพลังงานภายในถูกดูดออกไปจนหมด
อาการหลัก ๆ ของภาวะนี้ ได้แก่
- เหนื่อยล้าเรื้อรัง ไม่ว่าจะนอนเท่าไหร่ก็ไม่สดชื่น
- หมดแพชชั่นกับสิ่งที่เคยชอบ
- รู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่อยากเข้าสังคม
- ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย และอารมณ์แปรปรวน
- ร่างกายเริ่มมีปัญหา เช่น ปวดหัว ภูมิตก ป่วยบ่อย
สาเหตุของภาวะหมดไฟ
ภาวะหมดไฟไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้เกียจ” อย่างที่บางคนเข้าใจ แต่มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายและจิตใจ ว่าเรากำลัง "ฝืนมากเกินไป" จนพลังหมด ทั้งจากงาน ชีวิตประจำวัน หรือความคาดหวังรอบตัว ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น

งานล้น หัวใจล้า
ภาระหน้าที่ที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่มีจุดพัก ทั้งโปรเจกต์เดิม งานใหม่ และเดดไลน์ที่ไล่หลังจนหายใจไม่ทัน ทำให้เรารู้สึกว่า "งานมากไป ชีวิตน้อยไป" และเริ่มหมดแรงจะสู้ต่อ
ทุ่มเทจนรู้สึกไร้ค่า
พยายามเต็มร้อย แต่ไม่มีใครเห็น ไม่ได้รับการยอมรับ หรือรู้สึกว่าทำดีแค่ไหนก็ไม่พอ นานวันเข้า ความภูมิใจในตัวเองก็เริ่มหายไป เหลือไว้แค่ความเหนื่อยล้า
ชีวิตวนลูป น่าเบื่อเกินรับไหว
ตื่น – ทำงาน – กินข้าว – นอน วนซ้ำเหมือนแผ่นเสียงขาดแรงบันดาลใจ ไม่มีอะไรใหม่ให้ใจเต้น ไม่แปลกเลยที่เราจะรู้สึกเหมือนชีวิต “ไร้จุดหมาย”
ลืมดูแลตัวเอง
บางคนยุ่งจนลืมกินข้าวตรงเวลา นอนไม่พอ ไม่ออกกำลังกาย หรือไม่มีแม้แต่เวลาเงียบ ๆ ให้ตัวเองได้พักใจ พอร่างกายพัง ใจก็เริ่มพังตาม
รีเซ็ตใจยังไงให้กลับมามีไฟอีกครั้ง?
"หมดไฟ" ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันกลับมามีแรงอีก มันเป็นแค่สัญญาณจากร่างกายว่า "เธอควรพักนะ" มาดูเทคนิครีเซ็ตใจที่ทำได้จริงกัน

1. พักแบบไม่รู้สึกผิด
การพักผ่อนคือสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่ความผิด อย่ารู้สึกแย่ถ้าคุณต้องการเวลาส่วนตัว หยุดตอบแชตงาน หยุดเลื่อนอีเมล แล้วให้เวลากับการนอนเต็มอิ่ม หรือการดูหนังสบายใจสักเรื่อง ลองตั้งวัน “ไม่มีอะไรต้องทำ” สักวัน ปล่อยตัวเองไปตามใจบ้าง แล้วคุณจะพบว่า พลังงานมันค่อย ๆ กลับมาเอง
2. ลดสิ่งที่ไม่จำเป็น
ตารางชีวิตที่แน่นเอี้ยดไม่ได้เท่เสมอไป ลองถามตัวเองดูว่า มีกิจกรรมหรือภาระอะไรที่เรา "รับมาเพราะเกรงใจ" ไหม? ถ้ามี… ถึงเวลาบอกเลิกอย่างสุภาพ แล้วเอาเวลานั้นกลับมาใส่ใจตัวเอง
3. กลับมารักตัวเองทั้งกายและใจ
ออกกำลังกายเบา ๆ สัก 15-30 นาทีต่อวัน ปรับอาหารให้ดีต่อสมองและหัวใจ และที่สำคัญ… อย่าลืมดูแล "สมอง" ด้วยสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟู
หนึ่งในตัวช่วยที่คนยุคใหม่หันมาสนใจกันมากคือ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin
- มีโอเมก้า-3 จากนอร์เวย์ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ และลดภาวะอารมณ์ล้า
- ผสาน Astaxanthin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและสมอง
- ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น เหมือนแบตถูกชาร์จ
ใครที่รู้สึกเหนื่อยง่าย เครียด สมาธิสั้น ลองให้ KLARITY เป็นตัวช่วยเสริมในการฟื้นฟูจากภายใน
สั่งซื้อ KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin ที่นี่
|
4. ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ
กิจกรรมใหม่ ๆ คือการปลุกแพชชั่นแบบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ หรือเรียนออนไลน์เรื่องที่เราเคยสนใจแต่ไม่เคยมีเวลา ลองทำดูแม้จะเล็กน้อย มันช่วยกระตุ้นความรู้สึกว่า "ชีวิตยังมีเรื่องน่าสนุกให้ค้นหา"
5. พูดคุยและขอความช่วยเหลือ
อย่าคิดว่าต้องสตรองคนเดียวตลอดเวลา พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือหากอาการเริ่มรุนแรงจนรู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ การเข้าพบนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญคือทางออกที่ดีและกล้าหาญมาก
อ่านเพิ่ม: ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย! ระวังภูมิคุ้มกันตก ป้องกันได้แค่ปรับตามนี้
สรุป
การหมดไฟไม่ใช่ความล้มเหลว แต่มันคือ "จุดพัก" ที่ช่วยให้เราได้ทบทวนเส้นทางชีวิต ลองใช้ช่วงเวลานี้ในการกลับมาดูแลตัวเอง ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยการนอนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และรับสารอาหารที่ดี
หากคุณกำลังตามหาตัวช่วยเบา ๆ ที่ดูแลทั้งสมองและใจ ลอง KLARITY Omega-3 Norway Ultra + Astaxanthin ดูสิ เพราะการกลับมามีไฟ ไม่ได้เริ่มจากแค่แพชชั่น แต่มันเริ่มจากการใส่ใจตัวเองทุกวัน