October 27, 2025
อาการไบโพล่า (Bipolar Disorder) เบื้องต้น? สัญญาณที่ควรรู้และวิธีรับมือ
เคยรู้สึกไหมว่าบางวันเรามีพลังสุด ๆ อยากทำทุกอย่าง แต่วันถัดมากลับรู้สึกหมดแรง ไม่อยากเจอใคร? อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนความเหนื่อยล้าทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นรุนแรงและบ่อยครั้ง จนส่งผลต่อการใช้ชีวิต ก็อาจเป็น “สัญญาณของโรคไบโพล่า” หรือ Bipolar Disorder ภาวะอารมณ์แปรปรวนที่หลายคนมองข้าม แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้ใหญ่
ในบทความนี้ KLARITY ขอพาไปทำความเข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้องเพื่อเป็นก้าวแรกสำคัญในการดูแลสุขภาพใจของเราเอง รวมถึงคนรอบข้าง มาดูกันว่า “โรคไบโพล่า” มีอาการอย่างไร สังเกตได้จากอะไร และควรรับมืออย่างไรให้ชีวิตกลับมาสมดุลได้อีกครั้ง
ไบโพล่า (Bipolar Disorder) คืออะไร?
โรคไบโพล่า (Bipolar Disorder) หรือ “โรคอารมณ์สองขั้ว” คือภาวะที่อารมณ์ของคนเราสวิงไปมาระหว่างช่วงอารมณ์ดีมากผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) กับช่วงอารมณ์ซึมเศร้า (Depression) โดยอาการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงอารมณ์ขึ้นลงทั่วไป แต่รุนแรงพอที่จะกระทบกับการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือคุณภาพชีวิตในแต่ละวัน

อาการของโรคไบโพล่าในแต่ละช่วง
ช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Manic Episode) ผู้ป่วยจะรู้สึกพลังล้น คิดไว พูดเร็ว และมั่นใจในตัวเองมากกว่าปกติ เช่น
- พูดไม่หยุด มีไอเดียเต็มหัว อยากทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน
- ใช้เงินหรือเสี่ยงกับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คิดผลลัพธ์
- นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่ไม่รู้สึกเหนื่อย
- มีความมั่นใจสูงจนเกินจริง หรือเชื่อว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น
ช่วงอารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) เป็นช่วงที่อารมณ์ตกต่ำและรู้สึกหมดพลัง เช่น
- รู้สึกเศร้า สิ้นหวัง หรือไม่สนใจสิ่งรอบตัว
- ไม่มีแรงทำสิ่งที่เคยชอบ
- นอนมากหรือนอนไม่หลับ
- ขาดสมาธิ คิดช้า รู้สึกไร้ค่า
- อาจมีความคิดทำร้ายตัวเอง
- สัญญาณเตือนที่ควรรู้
โรคไบโพล่ามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็น “อารมณ์แปรปรวนง่าย” โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือคนทำงาน แต่ความจริงแล้ว หากพบพฤติกรรมต่อไปนี้ ควรเริ่มสังเกตและปรึกษาแพทย์:
- มีช่วงที่อารมณ์ดีมากเกินไปหรือเศร้าหนักโดยไม่มีเหตุผล
- เปลี่ยนจากกระตือรือร้นสุดขีดเป็นไม่อยากทำอะไรในเวลาไม่นาน
- การใช้ชีวิตและการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
- พฤติกรรมส่งผลกระทบต่อการเรียน การงาน หรือความสัมพันธ์

วิธีรับมือและดูแลผู้มีภาวะไบโพล่า
เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
โรคไบโพล่าสามารถควบคุมได้หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แพทย์มักใช้ยาควบคุมอารมณ์ (Mood Stabilizer) ร่วมกับการทำจิตบำบัด (Psychotherapy) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจอารมณ์ของตนเองมากขึ้น
รักษาพฤติกรรมการนอนและการกินให้สมดุล
นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และเสริมด้วยอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เช่น ปลาแซลมอน ถั่ว หรือวอลนัท ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมันดีอย่าง โอเมก้า-3 (Omega-3) ที่มีส่วนช่วยให้สมองและอารมณ์ทำงานสมดุล
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอารมณ์
งดดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือใช้สารเสพติด เพราะอาจทำให้อาการกำเริบหรือยากต่อการควบคุมอารมณ์
สื่อสารและสร้างความเข้าใจ
คนใกล้ชิดควรเป็นแรงสนับสนุนที่เข้าใจและไม่ตัดสิน ช่วยสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
สรุป
โรคไบโพล่าไม่ใช่ “โรคของคนอารมณ์ร้าย” แต่เป็นภาวะที่ต้องได้รับความเข้าใจและการดูแลทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และดูแลสุขภาพกายใจให้สมดุล จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
และอย่าลืมว่าการดูแล สมอง ให้พร้อมรับทุกอารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน การได้รับกรดไขมันดีอย่าง DHA และ EPA จาก KLARITY Omega-3 Norway ช่วยบำรุงสมอง เสริมสมาธิ และรักษาสมดุลของระบบประสาท เพื่อให้ใจของคุณแข็งแรงในทุกวัน