April 23, 2025

7 อาการวิตกกังวล ที่ห้ามปล่อยผ่าน ถึงเวลาต้องรีบเยียวยา

7 อาการวิตกกังวล ที่บอกว่าคุณต้องรีบเยียวยา

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกดดัน ความวิตกกังวลกลายเป็นเพื่อนไม่ได้รับเชิญที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตของใครหลายคน บางครั้งเราอาจไม่ทันสังเกตว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในวังวนของความกังวล จนกระทั่งอาการต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณเตือนชัดเจน

บทความนี้ KLARITY จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 อาการวิตกกังวลที่บ่งบอกว่าถึงเวลาที่คุณต้องใส่ใจและหาวิธีเยียวยา พร้อมแนะนำวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้น รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้

1. อาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก

อาการวิตกกังวล ที่ห้ามปล่อยผ่าน

คุณเคยรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งวัน แต่พอถึงเวลานอน กลับนอนไม่หลับหรือไม่? ความวิตกกังวลมักทำให้สมองทำงานหนักแม้ในยามที่ร่างกายต้องการพักผ่อน ความคิดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้หลับยาก หลับไม่สนิท หรือตื่นกลางดึกบ่อย ๆ

การนอนไม่หลับไม่เพียงทำให้รู้สึกอ่อนเพลียในวันถัดไป แต่ยังส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน การตัดสินใจ และอารมณ์ของคุณด้วย เมื่อเกิดเป็นวงจร ความเครียดทำให้นอนไม่หลับ และการนอนไม่หลับก็ยิ่งทำให้เครียดมากขึ้น (อ่านเพิ่ม เครียดบ่อย นอนไม่หลับ สาเหตุและวิธีรับมือ)

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือเบา ๆ หรือฟังเพลงสบาย ๆ หลีกเลี่ยงหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และรักษาเวลานอน-ตื่นให้สม่ำเสมอ

KLARITY Omega-3 Norway Daily เป็นอีกตัวช่วยที่น่าสนใจ เพราะกรดไขมัน Omega-3 มีส่วนช่วยในการผลิตเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบในร่างกายและปรับสมดุลของสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับและอารมณ์ได้อีกด้วย

สั่งซื้อ KLARITY Omega-3 Norway Daily ที่นี่


2. ความกังวลที่ไม่สามารถควบคุมได้

ลองนึกถึงความรู้สึกที่มีก้อนความกังวลก่อตัวในใจ แล้วค่อย ๆ บานปลาย จนควบคุมไม่ได้ คุณอาจเริ่มกังวลเรื่องเล็ก ๆ แต่กลับพบว่าตัวเองกำลังวิตกกังวลไปเรื่อยเปื่อย จากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง จนรู้สึกเหมือนถูกความคิดเหล่านั้นครอบงำ

ความกังวลที่ควบคุมไม่ได้นี้เป็นอาการสำคัญของโรควิตกกังวล และมักทำให้คุณหมกมุ่นกับสถานการณ์ในอนาคตที่อาจไม่มีวันเกิดขึ้น คนที่มีอาการนี้มักคิดถึงแต่ด้านลบ สร้างภาพเหตุการณ์แย่ ๆ ในหัว และรู้สึกหมดหนทางแก้ไข

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: ฝึกเทคนิคการหายใจลึก ๆ เมื่อรู้สึกว่าความกังวลกำลังมาเยือน พยายามอยู่กับปัจจุบัน ด้วยการสังเกตสิ่งที่เห็น ได้ยิน และรู้สึกรอบตัว (เทคนิค grounding) หรือจดบันทึกความกังวลลงกระดาษเพื่อให้หลุดออกจากวงจรความคิด

KLARITY Japan Ginkgo Biloba อีกตัวช่วยที่ดี เพราะสารสกัดจากใบแปะก๊วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง ส่งผลให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับปัจจุบันมากขึ้น และลดความคิดวนเวียน

3. อาการวิตกกังวลทางกาย ใจสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง

อาการวิตกกังวลทางกาย ใจสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง

ความวิตกกังวลไม่ได้ส่งผลกระทบแค่จิตใจ แต่ยังแสดงออกผ่านร่างกายด้วย อาการทางกายที่พบบ่อย ได้แก่ ใจสั่น หายใจถี่หรือหายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อออกมาก มือเย็น หรือรู้สึกหนาวสั่น

เมื่อเราเครียดหรือกังวล ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างอะดรีนาลินและคอร์ติซอล ซึ่งเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือกับอันตราย (ปฏิกิริยา fight-or-flight) ทำให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ กล้ามเนื้อตึงเครียด แม้ว่าจะไม่มีอันตรายจริงๆ ก็ตาม

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: เมื่อมีอาการเหล่านี้ ให้พยายามหายใจช้า ๆ ลึก ๆ นับ 1-2-3-4 ขณะหายใจเข้า กลั้นหายใจ 1-2 และนับ 1-2-3-4-5-6 ขณะหายใจออก ทำซ้ำจนรู้สึกสงบลง และหากิจกรรมผ่อนคลายที่ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล เช่น การเดินช้า ๆ การยืดเส้น หรือการทำสมาธิ

4. ความเหนื่อยล้าและขาดพลังงาน

ความวิตกกังวลเป็นตัวสูบพลังงานที่ยอดเยี่ยม เมื่อสมองของคุณทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาเพื่อคิดถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ร่างกายย่อมเหนื่อยล้าและมีอาการสมองล้า คนที่มีความวิตกกังวลมักรู้สึกอ่อนเพลียแม้จะไม่ได้ทำอะไรมาก หรือยังไม่หมดวัน

ความเหนื่อยล้านี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึกง่วงนอน แต่เป็นความอ่อนล้าลึก ๆ ที่ทำให้ขาดแรงจูงใจ ขาดสมาธิ และทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ บางคนอาจรู้สึกเหมือนต้องฝืนตัวเองตลอดเวลาแม้แต่กับงานง่าย ๆ

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: จัดลำดับความสำคัญของงานและพักเป็นช่วง ๆ แทนที่จะทำงานยาวติดต่อกัน ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินสั้น ๆ วันละ 15-20 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน และดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นอาหารที่ให้พลังงานแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพดี

KLARITY Japan Ginkgo Biloba สามารถช่วยเพิ่มพลังงานได้ เนื่องจากช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปสู่สมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีสมาธิมากขึ้น 


5. การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม

หากคุณเริ่มปฏิเสธคำชวนออกไปสังสรรค์ หรือรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องเข้าสังคม นี่อาจเป็นสัญญาณของความวิตกกังวลทางสังคม คนที่มีอาการนี้มักกลัวการถูกตัดสิน กลัวทำตัวน่าอาย หรือกลัวสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย จึงเลือกที่จะแยกตัวอยู่คนเดียว

การแยกตัวจากสังคมอาจให้ความรู้สึกปลอดภัยในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับยิ่งทำให้ความวิตกกังวลรุนแรงขึ้น ความสัมพันธ์กับผู้อื่นอาจห่างเหิน และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: เริ่มจากกิจกรรมสังคมเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เช่น นัดเพื่อนสนิท 1-2 คน ไปดื่มกาแฟหรือรับประทานอาหาร ฝึกทักษะการสื่อสารทางสังคมผ่านหลักสูตรออนไลน์หรือหนังสือ และอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวออกจาก comfort zone

6. การย้ำคิดย้ำทำและพฤติกรรมย้ำซ้ำ

คุณเคยตรวจดูว่าล็อคประตูแล้วหรือยังซ้ำไปซ้ำมา หรือต้องทำอะไรบางอย่างตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เป๊ะ ๆ ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกกังวลมากหรือไม่? นี่อาจเป็นอาการของการย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความวิตกกังวล

คนที่มีอาการนี้มักมีความคิดที่รบกวนจิตใจ (obsessions) และรู้สึกต้องทำบางอย่างซ้ำ ๆ (compulsions) เพื่อบรรเทาความกังวล แม้จะรู้ว่าไม่สมเหตุสมผล พฤติกรรมเหล่านี้อาจกินเวลาและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: เรียนรู้เทคนิค "การเผชิญหน้าและป้องกันการตอบสนอง" (Exposure and Response Prevention) โดยค่อย ๆ เผชิญกับสิ่งที่ทำให้กังวลโดยไม่ทำพฤติกรรมย้ำซ้ำ ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย และการตระหนักรู้ (mindfulness) เพื่อลดความกังวลโดยรวม

7. ความรู้สึกหวาดกลัวหรือรู้สึกว่ากำลังเกิดเหตุร้าย

อาการวิตกกังวล

อาการวิตกกังวลนี้อาจรุนแรงถึงขั้นเกิดอาการแพนิค คือรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือมีความรู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายแรง บางคนอาจรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลม หัวใจวาย หรือแม้กระทั่งกำลังจะตาย

อาการแพนิคมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง คนที่เคยมีอาการอาจกลัวว่าจะเกิดขึ้นอีก จึงหลีกเลี่ยงสถานที่หรือสถานการณ์ที่เคยมีอาการ ซึ่งยิ่งทำให้วงจรความกลัวรุนแรงขึ้น

วิธีเยียวยาเบื้องต้น: เมื่อเกิดอาการ ให้พยายามหายใจช้า ๆ ลึก ๆ และเตือนตัวเองว่าอาการนี้จะผ่านไป ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต พยายามอยู่กับปัจจุบันโดยสังเกตสิ่งรอบตัว 5 อย่างที่มองเห็น 4 อย่างที่สัมผัสได้ 3 อย่างที่ได้ยิน 2 อย่างที่ได้กลิ่น และ 1 อย่างที่รู้รส

ทั้ง KLARITY Omega-3 Norway Daily และ KLARITY Japan Ginkgo Biloba มีส่วนช่วยในการรับมือกับอาการเหล่านี้ Omega-3 ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ลดการอักเสบที่เกิดจากความเครียดเรื้อรัง ในขณะที่ Ginkgo Biloba ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปสู่สมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการได้

สรุป

การดูแลตัวเองแบบองค์รวมคือกุญแจสำคัญ ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และการจัดการความเครียด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง KLARITY Omega-3 Norway Daily และ KLARITY Japan Ginkgo Biloba อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดูแลสุขภาพของคุณได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องปรับพฤติกรรมอื่น ๆ ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม หากอาการวิตกกังวลรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อรับการประเมินและการรักษาที่เหมาะสม การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญอาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

Article by

klarity asia